การเทรดแบบ Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการจับจังหวะการแกว่งตัวของราคาในช่วงระยะเวลาสั้นถึงกลาง ซึ่งมักเป็นช่วงหลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ โดยผู้ที่ใช้กลยุทธ์นี้เรียกว่า “Swing Trader” ซึ่งมักมองหาการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงที่มีแนวโน้มชัดเจนหรือมีการกลับตัวจากแนวรับหรือแนวต้าน การเทรดแบบนี้จะช่วยลดความผันผวนในระยะสั้นและไม่ต้องใช้เวลาเฝ้าดูกราฟตลอดเวลาเหมือนการเทรด Scalping
ลักษณะสำคัญของการเทรดแบบ Swing Trading
- ถือครองตำแหน่งระยะสั้นถึงกลาง
โดยปกติแล้ว Swing Trader จะถือสถานะการเทรดไว้ตั้งแต่สองสามวันถึงสองสามสัปดาห์ - เน้นจังหวะการกลับตัวของราคา
Swing Trader มักจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาจุดกลับตัวของราคา หรือการแกว่งตัวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต - สามารถทำกำไรในตลาดที่มีแนวโน้มและไม่มีแนวโน้ม
สามารถทำกำไรได้จากการเทรดทั้งในช่วงที่มีเทรนด์ชัดเจนและช่วงที่ราคาแกว่งตัวในกรอบ Sideway - ใช้เวลาน้อยกว่า Scalping
เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเฝ้ากราฟบ่อย สามารถวิเคราะห์เป็นระยะ ๆ และตั้งคำสั่งรอ (Pending Orders) ตามแนวรับแนวต้านได้
เครื่องมือและกลยุทธ์ที่นิยมใช้ใน Swing Trading
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
- การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เช่น MA 50 หรือ MA 200 เพื่อดูแนวโน้มหลัก และใช้เส้น MA ระยะสั้นเช่น MA 20 เพื่อหาจังหวะการกลับตัว
- หากราคาอยู่เหนือเส้น MA ระยะยาว แสดงว่าเป็นช่วงขาขึ้น และควรมองหาจังหวะซื้อ หรือหากราคาอยู่ต่ำกว่าเส้น MA ระยะยาว แสดงว่าตลาดอาจเป็นขาลงและควรมองหาจังหวะขาย
- การวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน
- ใช้แนวรับและแนวต้านในการระบุจุดที่มีโอกาสเกิดการกลับตัวของราคา เช่น ซื้อเมื่อราคาลงมาที่แนวรับ และขายเมื่อราคาขึ้นไปถึงแนวต้าน
- Fibonacci Retracement
- ใช้ Fibonacci ระดับ 38.2%, 50%, และ 61.8% เพื่อหาจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวในการแกว่งตัวตามแนวโน้ม
- รูปแบบกราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns)
- รูปแบบแท่งเทียน เช่น Hammer, Engulfing หรือ Doji ใช้เพื่อบอกจุดกลับตัวของราคา และยืนยันการแกว่งตัว
- MACD (Moving Average Convergence Divergence)
- ใช้ MACD เพื่อหาจุดกลับตัว โดยการหาจุดที่เส้น Signal ตัดขึ้นหรือลง หรือสัญญาณ Divergence (ราคาทำ New High แต่ MACD ทำ Lower High) ซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวที่ดี
- Relative Strength Index (RSI)
- RSI ใช้ระบุสภาวะ Overbought และ Oversold ในกรอบ 14 วัน เมื่อ RSI อยู่ในระดับสูงใกล้ 70 อาจเป็นสัญญาณขาย และเมื่อ RSI อยู่ในระดับต่ำใกล้ 30 อาจเป็นสัญญาณซื้อ
ข้อดีและข้อเสียของการเทรดแบบ Swing Trading
ข้อดี:
- ไม่ต้องเฝ้ากราฟตลอดเวลา สามารถวางแผนและตั้งคำสั่งรอได้
- ลดความผันผวน ไม่ต้องกังวลกับการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของราคาเหมือน Scalping
- ทำกำไรจากแนวโน้มระยะสั้นถึงกลาง ได้ในตลาดที่มีเทรนด์และ Sideway
ข้อเสีย:
- มีความเสี่ยงจากการถือครองข้ามคืน และข้ามวันหยุด อาจเกิดความผันผวนในช่วงที่ไม่สามารถเฝ้าราคาได้
- ต้องมีความเข้าใจในการวิเคราะห์เทคนิค เพื่อระบุจุดกลับตัวและจังหวะการเข้าออก
- ใช้เวลาในการทำกำไร นานกว่าการเทรดระยะสั้น เช่น Scalping
เคล็ดลับในการเริ่มต้น Swing Trading
- เลือกใช้กรอบเวลาที่เหมาะสม – Swing Trader มักใช้กรอบเวลา 1 ชั่วโมง (H1), 4 ชั่วโมง (H4) หรือรายวัน (Daily) ซึ่งเหมาะสำหรับการเทรดในระยะสั้นถึงกลาง
- จัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวด – ตั้งค่าจุด Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสม เพื่อลดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
- วิเคราะห์ภาพรวมตลาด – การติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจจะช่วยให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการ Overtrade – ควรจำกัดจำนวนการเทรดในแต่ละวัน และเลือกเฉพาะจังหวะที่มั่นใจ
การเทรดแบบ Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาโดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่ควรฝึกฝนการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างสม่ำเสมอและจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย