การเทรดแบบ Swing Trading

การเทรดแบบ Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการจับจังหวะการแกว่งตัวของราคาในช่วงระยะเวลาสั้นถึงกลาง ซึ่งมักเป็นช่วงหลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ โดยผู้ที่ใช้กลยุทธ์นี้เรียกว่า “Swing Trader” ซึ่งมักมองหาการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงที่มีแนวโน้มชัดเจนหรือมีการกลับตัวจากแนวรับหรือแนวต้าน การเทรดแบบนี้จะช่วยลดความผันผวนในระยะสั้นและไม่ต้องใช้เวลาเฝ้าดูกราฟตลอดเวลาเหมือนการเทรด Scalping

ลักษณะสำคัญของการเทรดแบบ Swing Trading

  1. ถือครองตำแหน่งระยะสั้นถึงกลาง
    โดยปกติแล้ว Swing Trader จะถือสถานะการเทรดไว้ตั้งแต่สองสามวันถึงสองสามสัปดาห์
  2. เน้นจังหวะการกลับตัวของราคา
    Swing Trader มักจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาจุดกลับตัวของราคา หรือการแกว่งตัวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
  3. สามารถทำกำไรในตลาดที่มีแนวโน้มและไม่มีแนวโน้ม
    สามารถทำกำไรได้จากการเทรดทั้งในช่วงที่มีเทรนด์ชัดเจนและช่วงที่ราคาแกว่งตัวในกรอบ Sideway
  4. ใช้เวลาน้อยกว่า Scalping
    เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเฝ้ากราฟบ่อย สามารถวิเคราะห์เป็นระยะ ๆ และตั้งคำสั่งรอ (Pending Orders) ตามแนวรับแนวต้านได้

เครื่องมือและกลยุทธ์ที่นิยมใช้ใน Swing Trading

  1. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
    • การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เช่น MA 50 หรือ MA 200 เพื่อดูแนวโน้มหลัก และใช้เส้น MA ระยะสั้นเช่น MA 20 เพื่อหาจังหวะการกลับตัว
    • หากราคาอยู่เหนือเส้น MA ระยะยาว แสดงว่าเป็นช่วงขาขึ้น และควรมองหาจังหวะซื้อ หรือหากราคาอยู่ต่ำกว่าเส้น MA ระยะยาว แสดงว่าตลาดอาจเป็นขาลงและควรมองหาจังหวะขาย
  2. การวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน
    • ใช้แนวรับและแนวต้านในการระบุจุดที่มีโอกาสเกิดการกลับตัวของราคา เช่น ซื้อเมื่อราคาลงมาที่แนวรับ และขายเมื่อราคาขึ้นไปถึงแนวต้าน
  3. Fibonacci Retracement
    • ใช้ Fibonacci ระดับ 38.2%, 50%, และ 61.8% เพื่อหาจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัวในการแกว่งตัวตามแนวโน้ม
  4. รูปแบบกราฟแท่งเทียน (Candlestick Patterns)
    • รูปแบบแท่งเทียน เช่น Hammer, Engulfing หรือ Doji ใช้เพื่อบอกจุดกลับตัวของราคา และยืนยันการแกว่งตัว
  5. MACD (Moving Average Convergence Divergence)
    • ใช้ MACD เพื่อหาจุดกลับตัว โดยการหาจุดที่เส้น Signal ตัดขึ้นหรือลง หรือสัญญาณ Divergence (ราคาทำ New High แต่ MACD ทำ Lower High) ซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวที่ดี
  6. Relative Strength Index (RSI)
    • RSI ใช้ระบุสภาวะ Overbought และ Oversold ในกรอบ 14 วัน เมื่อ RSI อยู่ในระดับสูงใกล้ 70 อาจเป็นสัญญาณขาย และเมื่อ RSI อยู่ในระดับต่ำใกล้ 30 อาจเป็นสัญญาณซื้อ

ข้อดีและข้อเสียของการเทรดแบบ Swing Trading

ข้อดี:

  • ไม่ต้องเฝ้ากราฟตลอดเวลา สามารถวางแผนและตั้งคำสั่งรอได้
  • ลดความผันผวน ไม่ต้องกังวลกับการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของราคาเหมือน Scalping
  • ทำกำไรจากแนวโน้มระยะสั้นถึงกลาง ได้ในตลาดที่มีเทรนด์และ Sideway

ข้อเสีย:

  • มีความเสี่ยงจากการถือครองข้ามคืน และข้ามวันหยุด อาจเกิดความผันผวนในช่วงที่ไม่สามารถเฝ้าราคาได้
  • ต้องมีความเข้าใจในการวิเคราะห์เทคนิค เพื่อระบุจุดกลับตัวและจังหวะการเข้าออก
  • ใช้เวลาในการทำกำไร นานกว่าการเทรดระยะสั้น เช่น Scalping

เคล็ดลับในการเริ่มต้น Swing Trading

  1. เลือกใช้กรอบเวลาที่เหมาะสม – Swing Trader มักใช้กรอบเวลา 1 ชั่วโมง (H1), 4 ชั่วโมง (H4) หรือรายวัน (Daily) ซึ่งเหมาะสำหรับการเทรดในระยะสั้นถึงกลาง
  2. จัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวด – ตั้งค่าจุด Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสม เพื่อลดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
  3. วิเคราะห์ภาพรวมตลาด – การติดตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจจะช่วยให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
  4. หลีกเลี่ยงการ Overtrade – ควรจำกัดจำนวนการเทรดในแต่ละวัน และเลือกเฉพาะจังหวะที่มั่นใจ

การเทรดแบบ Swing Trading เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาโดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา แต่ควรฝึกฝนการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างสม่ำเสมอและจัดการความเสี่ยงอย่างมีวินัย

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save