Forex (Foreign Exchange) หรือ FX หมายถึงตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ด้วยปริมาณการซื้อขายที่มหาศาลตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันทำการ (ยกเว้นวันหยุดสุดสัปดาห์) ตลาด Forex เปิดโอกาสให้นักลงทุนและผู้ค้าเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของค่าเงินระหว่างสกุลเงินต่าง ๆ ที่แลกเปลี่ยนกันในคู่เงิน (Currency Pair) เช่น EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ), USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น) เป็นต้น
คุณสมบัติหลักของตลาด Forex
- ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและทำงาน 24 ชั่วโมง:
- ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมงตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ โดยแบ่งเป็นรอบการซื้อขายของศูนย์การเงินหลัก ๆ ทั่วโลก เช่น ตลาดนิวยอร์ก ตลาดลอนดอน ตลาดโตเกียว และตลาดซิดนีย์ ซึ่งแต่ละช่วงมีความสำคัญและมีปริมาณการซื้อขายแตกต่างกันไป
- สภาพคล่องที่สูงทำให้การซื้อขายในตลาด Forex สามารถทำได้รวดเร็วและมีต้นทุนต่ำ
- การซื้อขายเป็นคู่เงิน (Currency Pair):
- การซื้อขายในตลาด Forex จะเกิดขึ้นในรูปแบบของคู่เงิน ซึ่งเทรดเดอร์จะทำการซื้อขายสกุลเงินหนึ่งเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง เช่น หากซื้อคู่เงิน EUR/USD หมายถึงการซื้อสกุลเงินยูโรโดยใช้ดอลลาร์สหรัฐ และหากขายคู่เงินเดียวกัน หมายถึงการขายยูโรเพื่อรับดอลลาร์สหรัฐ
- แต่ละคู่เงินจะมี อัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate) ซึ่งแสดงถึงมูลค่าของสกุลเงินหลัก (Base Currency) เทียบกับสกุลเงินรอง (Quote Currency)
- เลเวอเรจ (Leverage):
- Forex เป็นตลาดที่เปิดโอกาสให้ใช้เลเวอเรจในการซื้อขาย ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมการลงทุนที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนที่มีจริง การใช้เลเวอเรจทำให้สามารถทำกำไรได้สูงขึ้น แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงขึ้นเช่นกัน
- เลเวอเรจในตลาด Forex มักอยู่ในระดับสูง เช่น 1:50, 1:100 หรือแม้กระทั่ง 1:500 ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และประเภทบัญชีของผู้เทรด
- ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงิน:
- ตลาด Forex ได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง อัตราเงินเฟ้อ ข้อมูลเศรษฐกิจ เช่น GDP อัตราการจ้างงาน และเหตุการณ์สำคัญระดับโลกเช่น การเมือง ความขัดแย้ง และเหตุการณ์ธรรมชาติ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อความผันผวนของคู่เงินในระยะสั้นและระยะยาว
ประเภทของการเทรดในตลาด Forex
- การเทรดระยะสั้น (Scalping และ Day Trading):
- เทรดเดอร์แบบ Scalping จะซื้อขายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่นาทีหรือไม่กี่วินาทีเพื่อเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อย ส่วน Day Trading หมายถึงการเทรดในวันเดียวกันโดยปิดสถานะก่อนสิ้นวัน เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนข้ามคืน
- การเทรดระยะกลาง (Swing Trading):
- เป็นการเทรดที่เน้นการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดในระยะกลาง โดยถือสถานะเป็นระยะเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ เพื่อจับการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงที่ยาวขึ้น
- การเทรดระยะยาว (Position Trading):
- นักลงทุนระยะยาวจะวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เช่น เศรษฐกิจและนโยบายของธนาคารกลาง เพื่อวางกลยุทธ์ในการถือครองสถานะเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี
ข้อดีของการลงทุนในตลาด Forex
- ต้นทุนต่ำ: การเทรด Forex มักมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ โดยโบรกเกอร์มักเก็บค่าสเปรด (Spread) ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ (Bid) และราคาขาย (Ask)
- ความยืดหยุ่นสูง: นักลงทุนสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงตามความสะดวกและยังมีความหลากหลายในการเลือกสกุลเงินที่จะลงทุน
- มีโอกาสทำกำไรทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง: เช่นเดียวกับ CFD เทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะซื้อหรือขายตามทิศทางที่คาดการณ์ ทำให้สามารถทำกำไรได้ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในแนวโน้มใด
ความเสี่ยงในการเทรด Forex
- ความเสี่ยงจากเลเวอเรจ: แม้เลเวอเรจจะช่วยขยายโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนเช่นกัน หากใช้เลเวอเรจสูงเกินไปอาจทำให้สูญเสียเงินทุนได้อย่างรวดเร็ว
- ความผันผวนสูง: ตลาด Forex มีความผันผวนสูงจากปัจจัยที่หลากหลาย ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของราคาบางครั้งเป็นไปอย่างรวดเร็ว
- ความเสี่ยงจากโบรกเกอร์: การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากมีโบรกเกอร์บางรายที่ไม่น่าไว้วางใจและอาจมีการปฏิบัติที่ไม่โปร่งใส
สรุป
ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูง เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ทั่วโลกเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่าง ๆ แม้จะเป็นตลาดที่มีโอกาสสร้างกำไรสูง แต่การเทรด Forex ยังมีความเสี่ยงที่สูงเช่นกัน นักลงทุนควรศึกษาและเข้าใจพื้นฐานของตลาดอย่างรอบคอบ และใช้การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการขาดทุน