Taker และ Maker คืออะไร?

Taker และ Maker เป็นคำที่ใช้ในตลาดการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (และตลาดการซื้อขายทั่วไป) เพื่ออธิบายบทบาทของผู้ซื้อขายในการทำธุรกรรมบนตลาด นี่คือคำอธิบายที่ชัดเจน:

1. Taker (ผู้รับคำสั่ง)

Taker คือผู้ที่ “รับ” คำสั่งซื้อหรือขายที่มีอยู่ในตลาดทันที คำสั่งซื้อขายของ Taker จะจับคู่กับคำสั่งใน Order Book ทันทีที่ราคาตรงกัน ซึ่งหมายความว่า Taker กำลังใช้สภาพคล่องที่มีอยู่ในตลาด

ตัวอย่าง:

• ในตลาด Spot หากคุณต้องการซื้อ Bitcoin ทันทีที่ราคา 35,000 USDT และใน Order Book มีคนขายที่ราคาเดียวกัน การซื้อของคุณจะถูกจับคู่ทันที คุณจึงเป็น Taker
• ในตลาด Futures หากคุณเปิดโพสิชันด้วยคำสั่ง Market Order (คำสั่งที่ดำเนินการทันที) คุณเป็น Taker

ค่าธรรมเนียม Taker:
มักจะสูงกว่า Maker เพราะ Taker ดึงสภาพคล่องออกจากตลาด

2. Maker (ผู้ทำคำสั่ง)

Maker คือผู้ที่ “สร้าง” คำสั่งใหม่ในตลาด โดยคำสั่งของ Maker จะถูกเพิ่มใน Order Book และรอการจับคู่กับคำสั่งของ Taker Maker ช่วยสร้างสภาพคล่องในตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้การซื้อขายดำเนินการได้อย่างราบรื่น

ตัวอย่าง:

• ในตลาด Spot หากคุณตั้งคำสั่งซื้อ Bitcoin ไว้ที่ราคา 34,500 USDT โดยราคานี้ยังไม่มีคนขาย คำสั่งจะยังไม่ถูกจับคู่ทันทีจนกว่าจะมีคนยอมขายที่ราคานี้ คุณจึงเป็น Maker
• ในตลาด Futures หากคุณเปิดคำสั่ง Limit Order (คำสั่งรอที่ราคาที่กำหนด) คุณเป็น Maker

ค่าธรรมเนียม Maker:
มักจะต่ำกว่า Taker และในบางแพลตฟอร์ม เช่น Bybit หรือ Binance ผู้ทำคำสั่งอาจได้รับค่าธรรมเนียมคืนเล็กน้อย (Rebate) เพื่อส่งเสริมการสร้างสภาพคล่องในตลาด

ความแตกต่างระหว่าง Taker และ Maker

สรุป:

• ถ้าคุณต้องการ “ซื้อหรือขายทันที” และคำสั่งของคุณจับคู่กับคำสั่งที่มีอยู่ในตลาด: คุณคือ Taker
• ถ้าคุณ “ตั้งคำสั่งไว้ในตลาด” และรอให้มีคนมาจับคู่กับคำสั่งของคุณ: คุณคือ Maker

การเลือกเป็น Taker หรือ Maker ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของคุณ ถ้าต้องการการดำเนินการเร็วและพร้อมจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม คุณอาจเป็น Taker แต่ถ้าต้องการลดค่าธรรมเนียมและยอมรอ คุณควรเป็น Maker